สร้างตารางสูตรการคำนวณหาจำนวนและน้ำหนักของถุงพลาสติก

1.       เปิดตาราง EXCEL (แผ่นเปล่า)  ตั้งค่าความสูงของบรรทัดโดยใช้คำสั่ง Format cell  เลือก Row height  ตั้งค่าความสูงตามที่เราต้องการ



2.       สร้างตารางค่าความหนาแน่นของถุงพลาสติกแต่ละชนิด  เพื่อใช้สำหรับการคำนวณ




3.       สร้างตารางคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกต่อกิโลกรัม  โดยแยกเป็นหน่วยนิ้ว และหน่วยเซ็นติเมตร 
       ดังรูป



4.       ในช่อง Cell K4 ให้ใส่สูตรโดยพิมพ์สูตรดังนี้
= ((1000*10000)/(2.54*2.54*I4))/(F4*G4*H4)

5.       และในช่อง Cell K7 ให้ใส่สูตรโดยพิมพ์สูตรดังนี้
= ((1000*10000)/(I7)/(F7*G7*H7)  จะได้สูตรดังรูป




6.       สร้างตารางคำนวณหาน้ำหนักถุงพลาสติกต่อใบ  โดยแยกเป็นหน่วยนิ้ว และเซ็นติเมตร
                      ดังรูป





7.       ในช่อง Cell K11 ให้ใส่สูตรโดยพิมพ์สูตรดังนี้
= ((F11*2.54)*(G11*2.54)*(H11/10000))*I11

8.       และในช่อง Cell K14 ให้ใส่สูตรโดยพิมพ์สูตรดังนี้
= ((F14)*(G14)*(H14/10000))*I14  จะได้สูตรดังรูป





9.       ทดลองใช้สูตรในตารางที่ทำเสร็จแล้ว  โดยใส่ขนาดของถุง เช่น กว้าง ยาว หนา และค่าความหนาแน่นของถุงพลาสติกชนิดนั้นๆ ใน Column ตามลำดับ  จากนั้นผลลัพธ์ที่ได้จะปรากฏใน Column K




บทความต่อไปผู้เขียนจะเสนอการคำนวณหาความยาวและน้ำหนักของฟิล์มพลาสติกที่เป็นม้วนครับ

วิธีการคำนวณหาน้ำหนักของถุงพลาสติกต่อใบ


จากบทความที่ผ่านมาเราได้สูตรวิธีคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกอย่างง่ายมาแล้ว   สำหรับบทความนี้เราจะมาคำนวณหาน้ำหนักของถุงแต่ละใบ ซึ่งจะมีหน่วยเป็น กรัม/ใบ ของถุง PP, ถุง PE
 และถุง HDโดยจะอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดดังนี้
จากสมัยที่เราเคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในชั้นมัธยมศึกษามานั้น คงจะเคยพบสูตรในการคำนวณหาความแน่นหนา ( Density)  ของวัสดุต่างๆ มาบ้างนะครับ




        เราก็นำมาแปลงเป็นสูตรหาน้ำหนักได้  ( ในทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า มวล นะครับ แต่เพื่อให้ผู้งานเข้าใจง่ายผมของเรียกว่า น้ำหนักครับ )

               น้ำหนัก (กรัม)     =   ความหนาแน่น (กรัม/ลบ.ซม.)  x ปริมาตร (ลบ.ซม.)

        สูตรนี้ได้มาจากการย้ายข้างของสมการข้างบนเท่านั้น และในวงเล็บก็คือ หน่วยของตัวแปร  สำหรับการคำนวณสิ่งที่สำคัญก็คือ ค่าต่างๆที่เราได้มา เช่น ความกว้าง  ความยาวและความหนาของถุงต้องเป็นหน่วยเดียวกันก่อนจึงจะคำนวณได้นะครับ   จากสูตรเราพบว่าสิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ ความหนาแน่นและปริมาตรของถุงนั่นเอง  ซึ่งความหนาแน่นเป็นค่าคงที่ของถุงแต่ละชนิด  ในบทความก่อนหน้าได้ให้ค่าความหนาแน่นของถุงแต่ละชนิดไว้เรียบร้อยแล้ว   เหลือเพียงค่าปริมาตรที่เราจะต้องคำนวณหาจากสูตรดั้งเดิมชั้นประถม

               ปริมาตร (ลบ.ซม.)     =   กว้าง (ซม.) x ยาว (ซม.) x สูง (ซม.)

        เนื่องจากความสูงของถุงก็คือความหนานั่นเอง  ถ้าเป็นแผ่นพลาสติกชั้นเดียวก็ใช้ค่าความหนาต่อชั้นได้  แต่เนื่องจากถุงมีลักษณะเป็นแผ่นสองชั้น ดังนั้นการคำนวณจึงต้องใช้ความหนาต่อ 2 ชั้น  สำหรับความหนาของถุงจริงจะมีความบางมากส่วนใหญ่ไม่ถึง 1 มม.  ดังนั้นความหนาของถุงจึงนิยมใช้ค่าหน่วยเป็นไมครอนตามเครื่องมือวัดความหนา   1 ไมครอนมีค่าเท่ากับ 1 ในพันส่วนของมิลลิเมตร (มม.)  หรือ 0.001 มม. ในแต่สูตรต้องใช้ค่าความหนาเป็น ซม.  เมื่อวัดค่าได้เป็นไมครอน จะต้องนำมาหารด้วย 10,000 เสียก่อนจึงจะได้หน่วยความหนาเป็น ซม. ตามสูตรครับ  นั่นคือ 1 ไมครอนเท่ากับ 0.0001 ซม. ( แต่ศัพท์ที่ใช้กันในท้องตลาดเกี่ยวกับความหนา อาทิ  ถุงหนา 10 มิล  จะหมายถึง 100 ไมครอน  หรือถุงหนา 20 มิลก็คือหนา 200 ไมครอน ซึ่งไม่ค่อยถูกต้องนัก)
กลับมาที่สูตรคำนวณหาน้ำหนักของถุงพลาสติกต่อ 1 ใบจะได้สูตรดังนี้ครับ

น้ำหนักของถุง 1 ใบ    =    ความหนาแน่น x กว้าง x ยาว x หนา

น้ำหนักของถุงพลาสติก 1 ใบ (มวล)   มีหน่วยเป็น   กรัมต่อใบ
ความหนาแน่นของถุงพลาสติก  มีหน่วยเป็น   กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
ความกว้างของถุงพลาสติก  มีหน่วยเป็น  เซนติเมตร
ความยาวของถุงพลาสติก   มีหน่วยเป็น  เซนติเมตร
ความหนาของถุงพลาสติก  มีหน่วยเป็น ไมครอนต่อ 2 ชั้น หารด้วย 10,000 (แปลงให้เป็น ซม.)

ตัวอย่างการคำนวณหาน้ำหนักถุงพลาสติก

1. ถุง PE กว้าง  20 ซม. ยาว 35 ซม. หนา  240 ไมครอนต่อ 2 ชั้น  อยากทราบน้ำหนักของถุงต่อใบ
และใน 1 กิโลกรัมจะได้ถุงกี่ใบ
จากสูตร     
   น้ำหนักถุง 1 ใบ    =   ความหนาแน่น x กว้าง x ยาว x (หนา/10000)

ความหนาแน่นของถุง PE มีค่าประมาณ  0.92  กรัม/ลบ.ซม.
                     จะได้    น้ำหนักถุง PE 1 ใบ   =  0.92 x 20 x 35 x ( 240/10000)
                                  น้ำหนักถุง PE 1 ใบ   =  15.46  กรัม

จาก  1 กิโลกรัมเท่ากับ  1,000 กรัม
เพราะฉะนั้นใน 1 กิโลกรัมจะได้ถุง PE ประมาณ  =  1000 / 15.46   =  64.68 ใบ

2. ถุง PP  กว้าง 8 นิ้ว  ยาว  18  นิ้ว  หนา  180 ไมครอน/ 2 ชั้น อยากทราบถุง PP 1 ใบมีน้ำหนักเท่าไร  และใน 1 กิโลกรัมได้ถุง PP กี่ใบ
เนื่องจากถุง PP มีหน่วยเป็น นิ้ว  เราจึงต้องแปลงหน่วยให้เป็น ซม. เสียก่อน  ความหนาแน่นของถุง PP มีค่าเท่ากับ  0.91  กรัม/ ลบ.ซม. จะได้สูตรดังนี้

      น้ำหนักถุง PP  1 ใบ     =    ความหนาแน่น x (กว้าง x 2.54) x (ยาว x 2.54) x (หนา/10000)
    น้ำหนักถุง PP  1 ใบ     =    0.91 x ( 8 x 2.54) x ( 18 x 2.54) x (180/10000)
     น้ำหนักถุง PP  1 ใบ     =    15.22  กรัม

        จาก 1 กิโลกรัมเท่ากับ 1,000 กรัม
เพราะฉะนั้นใน 1 กิโลกรัมจะได้ถุง PP ประมาณ  = 1000 / 15.22   = 65.70  ใบ

        ในครั้งต่อไปผู้เขียนจะแนะนำวิธีการเขียนสูตรลงไปใน ตาราง Excel  ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สะดวกในการคำนวณ  รวดเร็ว และไม่ค่อยผิดพลาด




วิธีคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกอย่างง่าย

                                   
เมื่อเรามีความจำเป็นต้องใช้ถุงพลาสติกในการบรรจุสินค้า  มักจะพบปัญหาว่าแล้วเราจะต้องสั่งซื้อถุงพลาสติกจำนวนเท่าไรจึงจะเป็นการประหยัดที่สุด   ไม่เหลือมากเกินไปจนเป็นภาระต้นทุนในการขายสินค้าหรือสั่งถุงพลาสติกมาแล้วจำนวนไม่เพียงพอต่อการใช้งานทำให้ต้องส่งสินค้าล่าช้า เป็นต้น
ดังนั้นวิธีการคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกจึงมีความสำคัญ และจำเป็นที่เราควรจะเรียนรู้ไว้ซึ่งสูตรในการคำนวณจะขึ้นอยู่กับชนิดของถุงพลาสติก ถุงพลาสติกมีมากมายหลายชนิดตามวัตถุประสงค์การใช้งาน   แต่ที่มีใช้งานกันค่อนข้างมากตามท้องตลาดทั่วๆไป   ได้แก่  ถุงร้อนหรือถุงชนิด PP   ถุงเย็นหรือถุงชนิด PE   และถุงไฮเดน (ก๊อบแก๊บ)หรือถุงชนิด HD  เป็นต้น   ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดังนี้

  • ถุงร้อนหรือถุง PP   ผลิตจากเม็ดพลาสติกพอลิโพรพิลีน  ( Polypropylene )  เนื้อถุงจะมีลักษณะใสเหมาะสำหรับโชว์สินค้าที่บรรจุ ทนต่อไขมันและความร้อนได้ดี  สามารถทนความร้อนได้ถึง 100๐ C  แต่ไม่ทนต่ออากาศเย็น เหมาะสำหรับบรรจุอาหารร้อน  เช่น แกงร้อน  น้ำเต้าหู  กาแฟร้อน เป็นต้น  ไม่เหมาะกับอาหารแช่เยือกแข็ง  ( ความหนาแน่น (density ) ระหว่าง 0.90 – 0.91 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร)

ภาพที่ 1  ถุงร้อนหรือถุง PP


  • ถุงเย็นหรือถุง PE  ผลิตจากเม็ดพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีน  ( Polyethylene ) ซึ่งปัจจุบันจะหมายถึงเม็ด PE ชนิด Low Density Polyethylene (LDPE) และเม็ด PE ชนิด Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) ผสมกันในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน  เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะกับการใช้งาน  เนื้อถุงมีลักษณะค่อนข้างใส  มีความยืดหยุ่นสูงสามารถยืดตัวได้ 1-7 เท่าตัว เหมาะสำหรับบรรจุอาหารที่ต้องการอุณหภูมิต่ำๆ  LLDPE จะมีความเหนียวกว่า LDPE  แต่ LDPE จะใสกว่า      ( ความหนาแน่น (Density) ระหว่าง 0.910 -  0.925 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร )


ภาพที่ 2   ถุงเย็นหรือถุง PE


  • ถุงไฮเดนหรือถุง HD  ผลิตจากเม็ดพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีน   ( Polyethylene ) ชนิดที่มีความหนาแน่นสูง เรียกว่า High Density Polyethylene (HDPE) เนื้อถุงมีลักษณะขุ่น โปร่งแสงน้อยมีความเหนียวและแข็งแรงมากกว่า LDPE และ LLDPE  เหมาะสำหรับใช้ทำถุงหูหิ้วบรรจุสินค้าทั่วไปที่ต้องการรับน้ำหนักได้ดี  บางครั้งเรียกว่าถุงก๊อบแก๊บ  ( ความหนาแน่น (Density) ระหว่าง 0.941 – 0.965  กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร )

ภาพที่ 3   ถุงไฮเดนหรือถุง HD



  • วิธีคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติก  ( ใบ/กิโลกรัม)














ตัวอย่างการคำนวณ  
1. ถุง PP  ขนาดกว้าง  10 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว  และมีความหนา 200 ไมครอนต่อความหนา
    2 ชั้น     ใน 1 กิโลกรัมจะได้ถุงดังกล่าวกี่ใบ
จากสูตร



                                        จะได้ถุง PP  ประมาณ       =         47.32          ใบต่อกิโลกรัม

หมายเหตุ  จำนวนถุงที่คำนวณจะ  +,- ได้ประมาณ 5%  เนื่องจากความหนาบางของถุงอาจไม่แน่นอน สำหรับความหนาของถุงพลาสติกจะมีหน่วยเป็นไมครอน โดยวัดรวม 2 ชั้น   กรณีถุง HD แบบหูหิ้วซึ่งจะมีการเจาะเนื้อถุงออกเพื่อทำหูหิ้วนั้น เมื่อคำนวณจำนวนใบตามสูตรแล้วจะต้องบวกเพิ่มตามเปอร์เซ็นต์น้ำหนักที่ถูกตัดออกไป เช่น บวกเพิ่ม 20% เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกที่ต้องการใช้งานนั้นมีประโยชน์ในการช่วยลดต้นทุนของวัสดุสิ้นเปลืองได้  เพราะหากเราไม่สามารถรู้จำนวนถุงพลาสติกที่จำเป็นต้องใช้งานเรา         ก็จะสั่งซื้อแบบให้มากไว้ก่อนเผื่อขาด  แต่หากเมื่อใดลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงขนาดบรรจุสินค้าก็จะ
ทำให้ถุงที่ยกเลิกการใช้งานเป็นของ Dead stock ทันที
   
         ประโยชน์อีกด้านหนึ่งของวิธีคำนวณหาจำนวนถุงพลาสติกก็คือ สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจรับถุงพลาสติกที่เราสั่งซื้อ  เช่น  ถุงชนิดหนึ่งขนาดกว้าง 10 นิ้วยาว 15 นิ้ว หนา 200 ไมครอนต่อ 2 ชั้น จะต้องได้ 56 ใบต่อ 1 กิโลกรัม   แต่ตรวจรับแล้วได้ 45 ใบต่อกิโลกรัมหรือตรวจรับได้ 65 ใบต่อกิโลกรัม  กรณีแรก 45 ใบต่อกิโลกรัมแสดงว่าเราขาดทุนจำนวนใบ/กก. ถุงอาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน  เนื่องจากความหนาของถุงต่อใบมากกว่าที่เรากำหนดไว้  แต่ผู้ผลิตถุงจะได้ประโยชน์ที่ใช้เวลาผลิตน้อยลงหรือผลิตได้เร็วขึ้น  กรณีที่สอง 65 ใบต่อกิโลกรัม ดูเหมือนว่าเราจะได้กำไรที่ได้จำนวนถุงมากขึ้น แต่ปัญหาคือถุงจะมีความหนาลดลงหรือถุงบางกว่าที่กำหนดไว้   ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงของถุง
        
          จากทั้งสองกรณีหากเรามีเกณฑ์ตรวจรับที่ดีก็จะป้องกันปัญหานั้นได้  หากสินค้าที่บรรจุในถุงนั้นมีราคาแพงและมีการสั่งซื้อจำนวนมาก ปัญหาเรื่องถุงหนา-บาง อาจส่งผลต่อกำไรขาดทุนของเราหรือของลูกค้าได้   สำหรับจำนวนที่ต้องการสั่งซื้อจริงควรมีการบวกเพิ่มจากเปอร์เซ็นต์ของเสียในกระบวนการผลิตของเราด้วย